เปิดตัว ASUS Zenbook S13 OLED (UX5304) รุ่นใหม่! เป็นโน้ตบุ๊คที่ได้รับการขนานนามว่าบางที่สุดในโลก มาพร้อมในคอนเซ็ปต์เบาแต่แรงไม่เบา เน้นใช้งานแบบพกพาไปข้างนอกได้อย่างสบายพร้อมทำงานได้อย่างสะดวกสบายที่สุด มีมาให้เลือกสองสีได้แก่ Basalt Grey และ Ponder Blue
ก่อนอื่นมาดูจุดเด่นจุดขายที่ทำให้หลายๆ คนต้องทึ่งคือตัวเครื่องที่มีความบางเพียง 1 ซม. หนักเพียง 1 กก. เท่านั้น พร้อมกับหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว ASUS Lumina OLED อัตราส่วน 16:10 ความละเอียด 2.8K (2880 x 1800) การันตีภาพสวยด้วยการรับรองจาก Dolby Vision การแสดงสี Pantone Validated และการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500 ให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับรายละเอียดและระดับสีดำที่เข้มที่สุด
นอกจากนี้ยังได้รับการออกแบบและการเลือกวัสดุก็คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมลพิษต่างๆ โดยใช้โลหะและพลาสติกรีไซเคิลในจากบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง FSC Mix ส่วนวัสดุก็เลือกใช้อลูมิเนียมพลาสมาเซรามิกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบใหม่สำหรับรุ่น Basalt Grey และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปราศจากฮาโลเจน ทำให้เป็นรุ่น Zenbook รุ่นนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเลยก็ว่าได้
ASUS Zenbook S13 OLED ไม่มีดีแค่ความบางเบา!
ฮาร์ดแวร์ให้มาแบบจัดเต็มไม่เสียชื่อ Zenbook
- ซีพียูมีให้เลือก 2 แบบคือ
- Intel Core i7-1355U Processor 1.7 GHz (12MB Cache, up to 5.0 GHz, 10 cores, 12 Threads)
- Intel Core i5-1335U Processor 1.3 GHz (12MB Cache, up to 4.6 GHz, 10 cores, 12 Threads)
- การ์ดจอ Intel Iris Xe Graphics
- RAM แบบ LPDDR5 On board มีมาเลือกตามการใช้งาน 3 ขนาด ได้แก่ 8 GB, 16 GB, และ 32 GB
- หน่วยความจำ PCIe 4.0 แบบ 4 ช่อง SSD ปรับแต่งได้สูงสุด 1 TB
- พอร์ตการเชื่อมต่อ
- 1x USB 3.2 Gen 2 Type-A
- 2x Thunderbolt 4 สามารถใช้ต่อจอภาพพพร้อมชาร์จไปในตัว
- 1x HDMI 2.1 TMDS
- 1x 3.5mm Combo Audio Jack
- แบตเตอรี่ 63 Wh สุดอึด สามารถพกไปทำงานแบบไม่ต้องพกสายชาร์จได้เลย
Display layer infusion สุดยอดเทคโนโลยีที่ให้ความบางและเบาที่สุดในโลก
ฉายาบางที่สุดในตลาดไม่ได้ได้มาง่ายๆ ทาง Asus มีการพัฒนาใช้เทคโนโลยี Display layer infusion เพื่อให้ได้รูปทรงที่บาง โดยการฝัง FHD IR แบบบางไปกับหน้าจอ CNC โดยตรง ส่วนแผง OLED ก็ออกแบบพิเศษให้บางเฉียบ ฝาหลังจึงบางลง 30% นอกจากนี้ก็ใช้แผงวงจรที่มีเลเยอร์น้อยลงและใช้สายไฟเชื่อต่อเยอะขึ้น บวกกับทรานซิสเตอร์ที่มากขึ้นด้วย ทำให้ได้โน้ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพแรงไม่เบาแต่น้ำหนักเบานั่นเอง
ส่วนในเรื่องของความร้อนก็ไม่ต้องกังวลเพราะวิศวกรของ ASUS ออกแบบมาเธอร์บอร์ดให้สามารถมีการไหลเวียนของอากาสเพื่อระบายความร้อนได้ดีนั่นเอง
ถ้าถามว่าบางขนาดนี้แบตจะอึดแค่ไหน? บอกได้เลยว่าผู้ใช้สามารถนำ ASUS Zenbook S13 OLED ไปสตรีมเกมยาวๆ 14 ชม.ได้สบายๆ ส่วนการระบายความร้อนและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีการใช้งานแบบจัดเต็มต่อพอร์ต I/O ก็ตาม
โน้ตบุ๊กรักสิ่งแวดล้อมที่ใครๆ ก็หลงรัก
เรื่องเป็นเรื่องที่น่าประทับใจอย่างยิ่งที่ ASUS สามารถลดการใช้คาร์บอนแล้วเพิ่มการใช้งานวัสดุที่เกิดจากการรีไซเคิลมาประกอบเป็นบอดี้จนได้รับขึ้นทะเบียน EPEAT Gold และยังแข็งแรงและทนทานอีกด้วย
วัสดุที่นำมาใช้เป็นตัวบอดี้ด้านฝาเครื่องและแป้นพิมพ์เกิดจากการผสมแมกนีเซียมกับอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลหลังอุตสาหกรรม (PIR) ช่วยลด Carbon Footprint ได้มากกว่า 50% ปุ่มกดเพิ่ม-ลดเสียงก็ใช้พลาสติกที่เก็บได้จากท้องทะเลนำมารีไซเคิลใหม่ วัสดุทุกชิ้นทาง ASUS ก็นำมาปรับปรุงให้สามารถรีไซเคิลได้ 100% ด้วยวัสดุที่ใช้ซ้ำได้และย่อยสลายได้
แท่นวางรองโน้ตบุ๊กก็ใช้ถาดใส่กระดาษที่ได้รับการรับรอง FSC Mix 100% เป็นรางวัลที่มอบให้ในฐานะที่มีการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบต่อป่า ไม้สงวน และแหล่งรีไซเคิล นอกจากนี้ Zenbook S13 OLED ยังได้รับการรับรองเรื่องความประหยัดพลังงานมาตราฐาน ENERGY STAR ถึง 43%
นอกจากข้อดีทางกายภาพแล้ว รูปลักษณ์และความรู้สึกของวัสดุนี้ยังคล้ายกับหินธรรมชาติที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของซีรีส์ Zenbook ทำให้แต่ละฝามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่มีที่ใดเหมือน อายุการใช้งานของโน้ตบุ๊กที่ยาวนานขึ้นยังช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในระยะยาว ดังนั้น Zenbook 13 S OLED จึงได้รับการทดสอบอย่างเข้มงวดโดยใช้มาตรฐานความทนทานระดับกองทัพสหรัฐ MIL-STD-810H ล่าสุด โดยมีวิธีการทดสอบมากถึง 12 วิธีและการทดสอบเดี่ยว 26 รายการ ซึ่งเป็นการทดสอบที่เข้มงวดที่สุดในโลก ความทนทานของโน้ตบุ๊ก
แม้ตัวจะบาง แต่หน้าจอจัดเต็ม! ด้วยเทคโนโลยี ASUS Lumina OLED display
อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้าว่า ASUS Zenbook S13 มีหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 จุดเด่นคือเทคโนโลยี ASUS Lumina OLED ที่ให้สีที่ดำสนิทและความสมจริงตามมาตราฐาน เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ ASUS เช่น ฟังก์ชั่น ASUS Splendid และ ASUS OLED Care รวมถึงคุณสมบัติใหม่ อย่าง Delta E <1 (เป็นค่าความแม่นยำของสี) แถมประหยัดพลังงานและการป้องกันจอเบิร์น ด้วยการรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน ASUS ได้สร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาที่สร้างขึ้นอย่างประณีตซึ่งแสดงถึงจุดสูงสุดของเทคโนโลยี OLED
หน้าจอความละเอียด 2.8K และอัตราการรีเฟรชเพียง 0.2 ms นี้ ได้มาตราฐานการรับรองและฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ดังนี้
- ความแม่นยำของสี Delta E <1 การันตีว่าสีเที่ยงตรงแม่นยำไม่เพี้ยน
- มาตราฐานการรับรอง Dolby Vision
- มาตราฐานการรับรอง DisplayHDR True Black 500 เพื่อสีขาวสว่างสุดและดำมืดสนิทที่สุด
- Pantone Validated สำหรับความเที่ยงตรงของสีมาตรฐานอุตสาหกรรม
- ขอบเขตสี DCI-P3 100% มาตราฐานระดับโรงภาพยนตร์
- ASUS Splendid ฟีเจอร์สำหรับเปลี่ยนโหมดขอบเขตสีระหว่าง sRGB, Display-P3 หรือค่าสีของพาเนล OLED ดั้งเดิมจากโรงงานก็ได้
- ได้รับรองว่าเป็นหน้าจอถนอมสายตาผู้ใช้โดย TÜV Rheinland และ SGS ลดการปล่อยแสงสีฟ้าลง 70%
ในครั้งนี้ต้องยกนิ้วให้กับ ASUS เลยจริงๆ ที่สามารถผลิตโน้ตบุ๊กคุณภาพดีออกมาได้ขนาดนี้แถมยังมีขนาดที่บางและน้ำหนักเบาอีกด้วย ส่วนราคาทาง ASUS ยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงราคา 30,000-40,000 บาทหากอ้างอิงจากราคาขอรุ่นก่อนหน้า
ที่มา: TechPowerUp, ASUS